โคมไฟแสงอาทิตย์...พลังงานแก่คนยากจน

โคมไฟแสงอาทิตย์ทำให้ชีวิตของเด็กๆที่อยากจนดีขึ้น (รูปภาพจาก : http://news.discovery.com )
Evans Wadongo นั้นอายุยังไม่ 25 แต่เขาก็ได้เปลี่ยนชีวิตของคนชาวเคนย่านับหมื่นที่อาศัยอยู่ในเขตชุมชนชนบทที่ยากจนด้วยการมอบโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่พวกเขา
ในฐานะที่เป็นเด็กที่โตในเคนย่าแถบตะวันตกนั้น Wadongo ได้พยายามอย่างหนักที่จะทำการบ้านด้วย โคมไฟที่ใช้น้ำมันก๊าด อีกทั้งยังถูกตีที่โรงเรียนอีกด้วยถ้าเกิดครอบครัวของเขาเกิดเชื้อเพลิงหมดขึ้นมา และควันไฟยังส่งผลให้สายตาของเขาเสียหายอย่างถาวร
แต่พ่อของเขา ผู้ซึ่งถูกอธิบายไว้ว่าเป็นคุณครูที่เข้มงวดมาก และเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขานั้น ได้เห็นว่าเขาสามารถเรียนจนจบและเข้ามหาวิทยาลัยได้
เมื่ออยู่ที่นั่น Wadongo ได้เริ่มคิดว่าทำอย่างไรถึงจะปรับปรุงแก้ไขสภาพความเป็นอยู่ของเด็กๆในชุมชนที่มีสภาพคล้ายกันกับหมู่บ้านของเขา ซึ่งก็มีอยู่มากมาย ถึงแม้เคนย่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในแอฟริกาตะวันออกก็ตาม ประชาชนจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งก็มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันด้วยเงินน้อยกว่าหนึ่งดอลล่าร์อยู่ดี
เขาอยากจะช่วยผู้คนมาโดยตลอดแต่ไม่อยากจะเรียนด้านการแพทย์ เขาก็เลยไปลงที่วิศกรรมแทน ซึ่งเขาอายุเพียง 19 ปีเท่านั้นตอนที่เขาได้คิดค้นโคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยการนำเงินสู้ยืมเพื่อการศึกษาส่วนหนึ่งไปหาซื้อสิ่งที่เขาต้องการ
“ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมาถึงขนาดนี้ได้ ตอนแรกผมอยากจะทำไปให้คุณย่าผมซักอันหนึ่งเท่านั้น” เขาจำได้
ตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตเมื่อปี 2004 ทุกวันนี้มีโคมไฟดังกล่าวแล้วจำนวน 15,000 ชิ้น ซึ่งเขาหวังว่าจะทำให้ได้ 100,000 ชิ้นภายในปี 2015
“ผมเริ่มจากหมู่บ้านที่ผมโตขึ้นและได้เห็นเด็กๆไปเรียนหนังสือตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมัธยม” เขากล่าว
เขาไม่มีเวลาสำหรับชนชั้นการเมืองของเคนย่า และกล่าวว่า “พวกเขาอยากให้คนจนอยู่อย่างนั้นเพื่อที่พวกเขาจะได้มีอำนาจต่อไป”
สำหรับ Wadongo แล้ว โคมไฟพวกนี้ไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่นั้น แต่มันยังเป็นหนทางที่จะทำให้คนหลุดพ้นจากความยากจนอีกด้วย
เขาและทีมงานจากโครงการ “Use Solar, Save Lives” นั้นเริ่มต้นจากการค้นหาชุมชนที่ยากจนที่ต้องพึ่งพาแสงสว่างจากน้ำมันก๊าดเวลาที่พวกเขาพอมีเงินที่จะซื้อเชื้อเพลิงมาใช้ได้ พวกเขาได้มอบโคมไฟจำนวน 30 ชิ้นให้กับกลุ่มๆหนึ่งของชุมชนนั้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้หญิง และยังได้สนับสนุนให้ชุมชนรวมกองทุนที่แต่ละครอบครัวสะสมกันมาด้วยการไม่ต้องไปซื้อน้ำมันก๊าดอีก
เมื่อกองทุนเหล่านั้นสะสมได้จำนวนหนึ่งแล้ว พวกเขาสามารถไปริเริ่มโครงการใดโครงการหนึึ่งอย่างการทำฟาร์มปลาหรือเพาะพันธุ์กระต่ายก็ได้
ส่วนชุมชนที่ย้ายที่อยู่กันบ่่อยๆก็จะได้รับโคมไฟแบบพิเศษที่ทำให้การขนย้ายนั้นเป็นไปได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างก็คือหมู่บ้าน Chumbi ซึ่งอยู่ห่างจากไนโรบีไป 31 ไมล์ซึ่งให้การตอนรับ Wadongo เป็นอย่างดี
“พวกเขาต่างก็อยากได้โคมไฟ” Agnes Muthengi ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนจากชุมชนที่ติดตามเขาเข้าไปในหมู่บ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
Jennifer David อายุ 47 ปี อาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างจากโคลนผสมอิฐและขนาบข้างด้วยสิ่งปลูกสร้างด้านนอกที่ส่วนใหญ่ทำจากเศษเหล็ก
ถัดไปก็เป็นไร่ข้าวโพดที่เหี่ยวเฉาเนื่องจากขาดน้ำ ซึ่งสามีของ David นั้นเป็นแรงงานรายวัน และงานนั้นก็หายาก แหล่งรายได้ที่เหลืออีกทางหนึ่งของเธอก็คือการเพาะพันธุ์กระต่าย แต่เนื่องด้วยกระต่ายหนึ่งตัวก็ให้เงินได้แต่ประมาณ 1.3 ดอลล่าร์ต่อตัวเท่านั้น อีกทั้งลูกของเธอคนหนึ่งจากทั้งหมดห้าคนก็ป่วยและต้องอยู่ในบ้าน ทำให้ชีวิตลำบากมากทีเดียว
มีข้อความหนึ่งอยู่บนเหล็กบิดๆที่ขึ้นสนิมเป็นข้อความที่บอกให้ผู้มาเยือนว่าคนอยู่ที่อาศัยในที่นี่นั้นเชื่อในพระเจ้า และสิ่งที่แขวนอยู่ที่เสาลานบ้านก็คือโคมไฟของ Wadongo ที่กำลังชาร์จอยู่
“ตั้งแต่ฉันได้โคมไฟดวงนี้สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไป” David กล่าว “ก่อนหน้านี้ฉันใช้น้ำมันก๊าดและมันก็มีกลิ่นและควันมาก อีกทั้งเราก็จ่ายเงินค่าน้ำมันก๊าดไปเยอะ”
ในตอนนี้ ลูกๆของเธอสามารถเรียนและอ่านหนังสือได้ในตอนค่ำโดยปราศจากค่าใช้จ่ายหรือสิ่งรบกวนแล้ว
Wadongo วางแผนที่จะขยายโครงการของเขาออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีอูกานดาเป็นเป้าหมายต่อไป ตอนนี้เขาก็เริ่มฝึกเด็กฝึกงานที่ไม่ได้มาจากเฉพาะเคนย่าหรือในแอฟริกาอย่างเดียวแต่ยังมีมาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯอีกด้วย เขายังตั้งเป้าที่กระจายการผลิตโคมไฟออกไปซึ่งเป็นการสร้างงานให้กับเด็กที่ไม่มีงานทำเช่นกัน
วิศวกรหนุ่มคนนี้ได้วางแผนทำหมู่บ้านตัวอย่างที่ Nyaobe ที่อยู่ทางตะวันตกของเคนย่าซึ่งคร่อมเส้นศูนย์สูตรอยู่ โดยผู้อยู่อาศัยจะได้รับสายไฟพลังงานแสงอาทิตย์และมีอินเตอร์เน็ตใช้
“ถ้าเราทุกคนคิดถึงคนอื่นก่อนที่จะคิดถึงตัวเอง โลกก็จะดีขึ้นกว่านี้” เขากล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น